GEN "Y" จาก : Positioning Magazine
มิถุนายน 2550
Gen Y
หรือคนที่มีอายุ 20 ปีขึ้นไป
กำลังเริ่มเข้าสู่โลกแห่งการทำงาน
แต่พวกเขาเป็นพนักงานที่แปลกแตกต่างไปจากพนักงานทั้งหมดเท่าที่โลกเคยมีมา
Generation Y
หรือคนที่เกิดระหว่างปี 1977-1995
ซึ่งบางส่วนเติบโตจนเริ่มเข้าสู่วัยทำงาน
กำลังรุกเข้าสู่บริษัททั่วสหรัฐฯ
แต่พวกเขาเป็นพนักงานที่แตกต่างไปจากพนักงานรุ่นก่อนๆ
ในหลายด้าน
นับตั้งแต่การเลี้ยงดูไปจนถึงโลกทัศน์
พวกเขาเฉยเมย น่ารำคาญ
ทะเยอทะยาน เรียกร้อง
และตั้งคำถามกับทุกสิ่ง
หากไม่มีเหตุผลดีพอ
อย่าหวังว่า Gen Y
จะยอมเสียเวลาเดินทางไปทำงานนอกเวลาหรือยอมทำงานดึก
ความ� ักดีต่อบริษัทของ Gen Y
จะอยู่ในอันดับท้ายสุด
ในรายการสิ่งที่ให้พวกเขาให้ความสำคัญ
ซึ่งเริ่มตั้งแต่ครอบครัว
เพื่อน สังคม เพื่อนร่วมงาน
และตัวของพวกเขาเอง
แต่โลกธุรกิจก็ไม่มีทางเลือก
นอกจากจะต้องอ้าแขนต้อนรับพวกเขา
เพราะคนรุ่นพ่อแม่ของ Gen Y
คือรุ่น baby boom
หรือคนที่เกิดหลังสงครามโลกครั้งที่
2 กำลังทยอยเกษียณอายุ
โดยจะมี Baby Boom ราว 64
ล้านคนในสหรัฐฯ
ที่จะเกษียณอายุในปลายทศวรรษนี้
และถึงแม้โลกธุรกิจจะไม่ต้อนรับพวกเขา
พวกเขาก็แค่กลับไปอยู่บ้านกับพ่อแม่
ซึ่งดูเต็มใจจะต้อนรับพวกเขากลับบ้านโดยไม่คิดจะดุด่าว่ากล่าวแม้แต่คำเดียว
Gen Y
เป็นคนที่หมกมุ่นอยู่กับตัวเอง
ติดเพื่อน ชอบทำหลายๆ
อย่างพร้อมกัน เสียงดัง
มองโลกในแง่ดี
และมีรอยเจาะในร่างกายมากกว่า
1 แห่ง
ซึ่งเป็นผลมาจากการเลี้ยงดูของพ่อแม่
Baby Boom ของพวกเขา
ผู้เชี่ยวชาญการวิจัยลักษณะของคนแต่ละรุ่นชี้ว่า
Gen Y ซึ่งกำลังเข้าสู่วัยทำงาน
นับเป็นคนวัยทำงานที่ได้รับการเลี้ยงดูจากพ่อแม่อย่างดีที่สุดในประวัติศาสตร์ของโลก
และขณะเดียวกัน
ก็กำลังจะเป็นคนวัยทำงานที่มีประสิทธิ� าพสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ของโลกเช่นกัน
Gen Y
ย่างก้าวเข้าสู่โลกแห่งการทำงาน
ด้วยข้อมูลความรู้ที่อัดแน่นอยู่ในหัว
มากกว่าที่คนวัยยี่สิบรุ่นก่อนหน้าพวกเขาทุกรุ่นเคยมีมา
และยังพร้อมมูลด้วยข้อมูลข่าวสารที่มากกว่าเพียงปลายนิ้วสัมผัสในยุคเทคโนโลยีสารสนเทศ
พวกเขายังมีความคาดหวังที่สูงยิ่ง
แต่สิ่งที่พวกเขาคาดหวังสูงสุดและเป็นสิ่งแรก
คือตัวของพวกเขาเอง...
--------------------------------------------------------------------------------
บุคลิกลักษณะและโลกทัศน์ของ
Gen
Y
ข้อมูลจากสำนักสำมะโนประชากรสหรัฐระบุว่า
Gen Y มีจำนวน 79.8 ล้านคน
ซึ่งมากกว่าคนรุ่น Baby Boom
รุ่นพ่อแม่ของพวกเขา
ที่มีจำนวน 78.5 ล้านคน
การจะให้คำจำกัดความ Gen Y
เป็นเรื่องยาก อย่างไรก็ตาม Gen
Y
มีลักษณะผิดแผกแตกต่างจากคนรุ่นก่อนหน้าพวกเขาอย่างเห็นได้ชัด
ในขณะที่คนรุ่นก่อนหน้า Gen Y
ต่างทุกข์ทรมานกับปัญหาความอ้วน
แต่ Gen Y ชอบไปฟิตเนส Joshua Buttler
นักบัญชีที่เป็นนักเพาะกายในขณะเดียวกัน
เขาสูง 6 ฟุต 2 นิ้ว หนัก 230 ปอนด์
ด้วยวัย 22 ปี และการศึกษาจาก
Howard University
เขาได้เข้าทำงานในบริษัทบัญชียักษ์ใหญ่อย่าง
KPMG
ซึ่งยอมให้เขาเปลี่ยนแปลงเวลาทำงาน
เพื่อจัดตารางเวลาสำหรับฝึกเพาะกาย
เพื่อจะเข้าร่วมแข่งขันเพาะกาย
เขายังเป็นนักกีฬาเทนนิสของบริษัท
และบริษัทยังยอมให้เขาย้ายไปยังนิวยอร์กตามที่เขาต้องการ
ผลสำรวจคนรุ่น Gen Y ในสหรัฐฯ
พบว่า มากกว่า 1 ใน 3 ของคนอายุ
18-25 ปี ต่างนิยมมีรอยสัก และ 30%
ของคนวัยดังกล่าว
มีรอยเจาะในร่างกายมากกว่า 1
แห่ง
แต่เครื่องประดับที่สำคัญที่สุดสำหรับ
Gen Y
ซึ่งเกิดมาในยุคที่โลกร่ำรวยเทคโนโลยี
คือ
ข้าวของเครื่องใช้ไฮเทคทั้งหลาย
iPod, BlackBerry, Laptop
ซึ่งเปรียบเสมือนแขนขาที่ Gen Y
ขาดไม่ได้
ในการทำงาน Gen Y
ดูเหมือนจะเรียกร้องสูงและรักษาสิทธิ์อย่างเต็มที่
แต่พวกเขาไม่ใช่คนหยิบโหย่ง
แม้อาจจะดูเหมือนเป็นเช่นนั้น
แต่ความจริง
พวกเขาเพียงแต่ชอบเรียกร้องขอมีทีม
ที่จะคอยช่วยเหลือเกื้อหนุนพวกเขาในการทำงาน
รวมทั้งต้องการคนที่จะคอยให้กำลังใจอีกนิดหน่อย
ในการจะลงมือทำทุกสิ่งทุกอย่างเท่านั้นเอง
สำหรับ Gen Y บางคนแล้ว
นิยามคำว่า
“จริยธรรมการทำงาน”
จำเป็นต้องเปลี่ยนใหม่
และยังมีนิยามอีกหลายอย่างที่
Gen Y เปลี่ยนมันเสียใหม่
พวกเขาไม่แบ่งแยกเพศและเชื้อชาติ
ผู้หญิงสามารถดูกีฬาและเล่นวิดีโอเกมเหมือนผู้ชาย
Gen Y
โตขึ้นมาพร้อมกับการบริโ� คสื่ออย่างกว้างขวาง
ทำให้พวกเขาคุ้นชินและยอมรับความหลากหลาย
Gen Y
เติบโตมาโดยถูกปลูกฝังว่า
พวกเขาจะเป็นอะไรก็ได้ที่อยากเป็น
อย่างไรก็ตาม โลกทัศน์ของ Gen Y
สั่นสะเทือน
หลังจากเกิดเหตุสะเทือนขวัญที่โรงเรียนมัธยม
Columbine
ซึ่งเด็กนักเรียนใช้ปืนยิงกราดสังหารเพื่อนนักเรียนด้วยกัน
และเหตุวินาศกรรมช็อกโลกซึ่งผู้ก่อการร้ายถล่มตึกเวิลด์เทรด
ที่เรียกว่าเหตุการณ์ 11
กันยายน
เหตุสะเทือนขวัญทั้งสอง
เป็น� ัยคุกคามที่ร้ายแรงและจริงจัง
เกินกว่า� ัยคุกคามจากอาวุธนิวเคลียร์ในสมัยพ่อแม่ของพวกเขา
Gen Y รู้สึกว่า
� ัยคุกคามในยุคของพวกเขานี้
สามารถจะเกิดขึ้นเมื่อใดก็ได้
กับใครก็ได้
และไม่มีทางที่จะคาดการณ์ได้
เมื่อบวกกับข่าวร้ายด้านสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นไม่เว้นแต่ละวัน
ก็ไม่มีสิ่งใดเลยที่จะเป็นหลักประกันให้แก่
Gen Y ได้ว่า
ชีวิตในวันพรุ่งนี้จะมีความสุขหรือปลอด� ัย
Gen Y
จึงตัดสินใจที่จะใช้ชีวิตอย่างมีความสุขที่สุดและดีที่สุดเสียแต่วันนี้
--------------------------------------------------------------------------------
ติดพ่อแม่
Gen Y
เติบโตขึ้นมาจากการเลี้ยงดูของ
Baby Boom พ่อแม่ของพวกเขา
ซึ่งตั้งใจจะเลี้ยงดูพวกเขาอย่างตรงข้ามกับที่ตัวเองเคยได้รับมาในวัยเด็ก
Gen Y
จึงเป็นลูกที่ได้รับการพะเน้าพะนอเอาอกเอาใจจากพ่อแม่มาตั้งแต่เกิด
เมื่อบวกกับความร่ำรวยของพ่อแม่ในยุคทศวรรษ
1980-1990
และการที่พ่อแม่รู้สึกผิด
ที่ต่างทำงานนอกบ้านทั้งคู่
จนมีเวลาอยู่ใกล้ชิดลูกน้อยลง
จึงชดเชยความรู้สึกผิดนั้น
ด้วยการให้ทุกสิ่งทุกอย่างแก่ลูก
Gen Y
ไม่เพียงแต่ได้ทุกอย่างจากพ่อแม่อย่างที่ตัวเองต้องการ
แต่พวกเขายังเป็นศูนย์กลางในชีวิตของพ่อแม่
Gen Y
จึงมีความ� าค� ูมิใจในตัวเองสูง
ไม่เคยถูกพ่อแม่ตีหรือดุด่าว่ากล่าว
ไม่ว่าพวกเขาจะพูดหรือแสดงความคิดเห็นใดๆ
ก็จะได้รับความชื่นชมยินดีเสมอ
Gen Y เป็นเด็กที่เรียนหนัก
และเติบโตเป็นวัยรุ่นที่ทะเยอทะยานสูง
เป้าหมายคือ
เข้ามหาวิทยาลัยดีๆ
ซึ่งจะทำให้ได้งานดีๆ
และมีชีวิตที่ดี
แต่เมื่อ
Gen Y
รุ่นแรกเรียนจบมหาวิทยาลัยในช่วงปลายทศวรรษ
1990 Gen Y จำนวนมากกลับพบว่า
พวกเขาหาได้เรียนรู้มากพอเกี่ยวกับความมานะบากบั่นหรือการเสียสละไม่
ทำให้ Gen Y
จำนวนมากหวนกลับไปสู่สถานที่ที่พวกเขารู้ว่าปลอด� ัยที่สุด
นั่นคือบ้าน
ผลสำรวจบัณฑิตในอเมริกาที่จบระหว่างปี
2000-2006 พบว่า 58%
ย้ายออกจากบ้านของพ่อแม่หลังจบมหาวิทยาลัย
แต่มีถึง 32%
ที่ยังอยู่กับพ่อแม่นานกว่า 1
ปี
และแม้แต่บัณฑิตที่ย้ายออกจากบ้านพ่อแม่ไปแล้ว
แต่ผลสำรวจก็ยังพบว่า 73%
ของคนอายุ 18-25 ปี
ยังได้รับความช่วยเหลือทางการเงินจากพ่อแม่
และ 64%
ยังต้องให้พ่อแม่เกื้อหนุนในเรื่องอื่นๆ
แม้ Sheryl Walker วัย 24 ปี จะได้งานดีๆ
ทำที่ PricewaterhouseCoopers
แต่ก็ยังคงอาศัยอยู่กับพ่อแม่
ซึ่งเธอบอกว่า
พ่อแม่มีความสุขที่เธอยังอาศัยอยู่กับพวกท่าน
คนอายุ 20
ปีขึ้นไปยังคิดถึงตัวเองในวัย
20
แตกต่างไปจากคนวัยเดียวกันรุ่นก่อนๆ
พวกเขารู้สึกว่าตัวเองยังไม่เป็นผู้ใหญ่พอ
เปลี่ยนแปลงง่าย
ไม่ชอบถูกผูกมัด
และยังไม่เป็นหลักเป็นฐาน
ข้อมูลหนึ่งที่ยืนยันความคิดว่าตัวเองยังไม่เป็นผู้ใหญ่พอของ
Gen Y คือ
การที่อายุเฉลี่ยของหนุ่มสาวที่แต่งงานในปี
1960 ซึ่งผู้หญิงอยู่ที่อายุ 20
และผู้ชายอยู่ที่อายุ 23
เพิ่มขึ้นเป็นผู้หญิงอายุ 26
และผู้ชายอายุ 28 ในปัจจุบัน
ซึ่งในแง่สังคมวิทยาแล้ว
นับว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่มาก
การที่พ่อแม่ยังคงมีบทบาทอย่างสูงในชีวิตวัยเกิน
20 ของ Gen Y
และการที่พวกเขาสามารถกลับไปอยู่บ้านได้ทุกเมื่อ
โดยที่พ่อแม่ไม่เคยว่าอะไร
ทำให้ Gen Y
มักมีปัญหาในการตัดสินใจ แม้
Gen Y
จะมีความมุ่งมั่นอย่างมากที่จะประสบความสำเร็จ
แต่วิธีการที่พวกเขาถูกเลี้ยงดูมา
ซึ่งปลูกฝังความรู้สึกว่าพวกเขาเป็นคนสุดพิเศษ
เป็นสิ่งที่ขัดแย้งอย่างสิ้นเชิงกับแนวคิดของบริษัท
--------------------------------------------------------------------------------
วิธีดึงดูดใจ
Gen Y
Katie Connolly
นักกฎหมายสาววัย 28 ปี
ผู้มีดีกรีจากมหาวิทยาลัย
Minnesota Law School
ยอมเปลี่ยนงานใหม่ที่ได้เงินเดือนน้อยกว่า
ยอมออกจากบริษัทกฎหมายเก่าแก่อายุ
150 ปี
ไปทำงานในบริษัทกฎหมายที่เล็กกว่า
เพียงเพื่อจะได้มีหน้าต่างอยู่ข้างโต๊ะทำงาน
และแต่งตัวตามสบายมาทำงาน
ทั้งยังได้รับโอกาสว่าความเป็นครั้งแรก
แม้ Gen Y
จะให้ความสำคัญกับเรื่องเงินเป็นอย่างมาก
และไม่ถูกใครหลอกง่ายๆ
ในเรื่องนี้
เพราะไม่ใช่เรื่องยากสำหรับพวกเขา
ที่จะแสวงหาข้อมูลเกี่ยวกับค่าตอบแทนที่บริษัทใหญ่ๆ
เสนอให้พนักงาน
แต่นอกจากเรื่องเงินแล้ว Gen Y
ยังสนใจบริษัทที่มีวิสัยทัศน์
และมองหาคุณค่าที่พวกเขาสามารถจะยึดถือร่วมกับบริษัทได้
เช่น
การให้ความสำคัญกลุ่มเพื่อน
การบริหารที่ไม่มีพิธีรีตองหรือออกคำสั่งมากเกินไป
บริษัทที่ให้ความสำคัญกับความสมดุลระหว่างชีวิตและงาน
จะสามารถดึงดูดใจ Gen Y
ได้แน่นอน แม้ Gen Y จะยอมทำงาน 60
ชั่วโมงต่อสัปดาห์ถ้าจำเป็น
แต่พวกเขาจะต้องได้รับค่าตอบแทนที่พอใจ
แลกกับการที่ต้องยอมสูญเสียเวลาพักผ่อนอันมีค่าไป
และไม่ต้องการมีวิถีชีวิตที่ต้องทำงานหนักไปตลอดชีวิต
บริษัทยักษ์ใหญ่หลายแห่งปรับเปลี่ยนวิธีการรับสมัครงานให้เข้ากับคนยุค
Gen Y ซึ่งคุ้นเคยกับ Flash Drive
และการรับส่งข้อความ
แทนที่จะเป็นโบรชัวร์แบบเก่า
บางบริษัทถึงกับเปิดรับสมัครงานในเว็บ
Facebook
ยอดฮิตของนักศึกษาในสหรัฐฯ
แต่เหนืออื่นใด
กุญแจสำคัญที่สามารถจะดึงดูด
Gen Y
ให้เข้าไปทำงานได้อย่างแน่นอน
อาจอยู่ที่บ้าน
หากสามารถจูงใจพ่อแม่ของ Gen Y
ได้สำเร็จ
ก็เกือบจะแน่นอนว่า
จะได้ลูกของพวกเขาเข้าไปทำงานด้วย
บริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Merrill Lynch
ถึงกับจัดงานวันพบพ่อแม่ของพนักงานใหม่
เพื่อพาพ่อแม่เยี่ยมชมการทำงานของบริษัท
--------------------------------------------------------------------------------
รักษา
Gen Y
ให้อยู่กับบริษัท
สิ่งที่เคยผูกมัดพนักงานไม่ให้เปลี่ยนงานในอดีต
คือ� าระที่ต้องเลี้ยงดูครอบครัวและการผ่อนบ้าน
ไม่ใช่สิ่งที่สามารถจะผูกมัด
Gen Y ในวันนี้ได้อีกต่อไป
การดึงดูด Gen Y
ให้มาทำงานกับบริษัทก็ยากแล้ว
แต่การจะรักษาพวกเขาให้ทำงานกับบริษัทใดเพียงแห่งเดียวไปนานๆ
ยากยิ่งกว่า
กุญแจคือ
ใช้วิธีเดียวกับที่พ่อแม่ของ
Gen Y ใช้
ในการเลี้ยงดูพวกเขาจนเติบโต
นั่นคือ ให้ความรัก
ให้กำลังใจ และให้รางวัล
ซึ่งในบริบทของบริษัทก็คือ
การมีกลุ่มคนที่จะคอยช่วยเหลือเกื้อกูลการทำงานของ
Gen Y การมีพี่เลี้ยง
การมอบหมายงานที่ท้าทายไม่น่าเบื่อ
และการแสดงความชื่นชมยินดีในความสำเร็จของ
Gen Y ความ� ักดีของ Gen Y
ขึ้นอยู่กับความเหนียวแน่นของความสัมพันธ์
ที่พวกเขามีต่อผู้บริหารที่อยู่เหนือพวกเขาโดยตรง
ซึ่งจะต้องทำให้ Gen Y รู้สึกว่า
ได้รับการเอาใจใส่จากผู้บริหาร
โดยอาจเริ่มจากสิ่งเล็กๆ
น้อยๆ อย่างเช่นนามบัตร
ซึ่งจะทำให้ Gen Y
รู้สึกตัวเองมีค่า
การให้เขาได้เข้าร่วมการประชุมระดับบริหารเป็นครั้งคราว
วันเกิดและวันเริ่มงานวันแรกของ
Gen Y เป็นสิ่งที่จะลืมไม่ได้
ตัวอย่างเช่น Johnny Cooper
นักออกแบบแฟชั่นของ J.C. Penney
ด้วยวัย 23 ปี
เขาประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว
โดยมีบทบาทในการปรับปรุงไลน์ชุดว่ายน้ำบุรุษ
และยังได้ดูแลโครงการระดมทุนโครงการสำคัญของบริษัท
หลังจากที่เขาเสนอความคิดนี้ต่อผู้บริหารผ่านทางอีเมล
อีกตัวอย่างหนึ่งคือ KPMG
ซึ่งจัดให้พนักงานใหม่มีพี่เลี้ยง
และมีเว็บไซต์ที่ช่วยให้กระบวนการทำงานง่ายขึ้นกว่าปกติ
รวมทั้งสนับสนุนกิจกรรมด้านสังคมของพนักงานใหม่
เพื่อให้เขามีกลุ่มเพื่อนที่มีความสนใจในสิ่งเดียวกัน
นอกจากนี้
ยังมีการส่งพนักงานไปฝึกอบรมในต่างประเทศ
ทั้งหมดนี้ทำให้บริษัทยักษ์ใหญ่แห่งนี้ลดอัตราพนักงานลาออก
จาก 25% ในปี 2002 เหลือ 18%
ในปีที่แล้ว
การจะพัฒนา Gen Y
ต้องเข้าใจว่า
คนรุ่นนี้มีศักย� าพสูงมากในการทำงานและในการเรียนรู้
มากกว่าคนรุ่นใดๆ ที่ผ่านมา Gen
Y มีพลังมาก และมักคิดนอกกรอบ
เขาอาจมีความคิดที่แปลกแหวกแนวชนิดที่คุณไม่เคยนึกฝันไปถึง
Gen Y
ไม่ต้องการมีชีวิตการทำงานแบบเดียวกับคนรุ่นก่อนๆ
ที่มีความ� ักดีกับบริษัท
ดังนั้น
นอกจากบริษัทจะต้องสร้างเครื่องมือที่จะรักษา
Gen Y ให้อยู่กับบริษัทไปนานๆ
แล้ว
ยังจะต้องหาวิธีที่รวดเร็วขึ้น
ในการพัฒนาทักษะของ Gen Y
และให้โอกาสที่ดีกว่าแก่พวกเขา
หากให้ Gen Y
มีโอกาสรับผิดชอบอย่างแท้จริง
เขาจะพัฒนาตัวเองได้อย่างรวดเร็ว
เพราะนอกจากจะมีศักย� าพในการคิดและทำงานแล้ว
พวกเขายังมีศักย� าพในด้านนวัตกรรม
มีความกระตือรือร้น
และมีมุมมองที่แปลกใหม่
แต่บุคลิกลักษณะที่สำคัญที่สุดของ
Gen Y
ซึ่งทำให้คนรุ่นนี้แตกต่างไปจากคนวัยเดียวกับพวกเขาทั้งหมดที่ผ่านมา
อาจเป็นความเชื่อมั่นและการกล้าพูดกล้าทำโดยที่ไม่มีความรู้สึกผิด
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการแต่งตัวด้วยแฟชั่นที่อาจดูเหมือนบ้าๆ
บอๆ การเอาแต่ใจตัวเอง
และการทำตามความต้องการของตัวเองทุกอย่าง
ไม่เว้นแม้แต่เรื่องงาน
เพราะ Gen Y จะคิดว่าตัวเองพิเศษ
และจะคาดหวังเสมอว่า
จะต้องมีใครสักคน พ่อแม่
เพื่อนหรือหัวหน้างาน
ที่จะช่วยพวกเขาให้ทำในสิ่งที่ต้องการได้สำเร็จอยู่เสมอ
เสาวนีย์ พิสิฐานุสรณ์
แปลและเรียบเรียง
ฟอร์จูน 28
พฤษ� าคม 2550