3/16/2553

เคล็บนักบริหารโดยเจ้าสัวซีพี

เคล็บนักบริหาร โดย เจ้าสัว " ซี.พี."
นายธนินท์ได้ให้ความเห็นว่า ยิ่งมีความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยีมากเท่าใด ยิ่งมีโอกาสสร้างนักธุรกิจรุ่นใหม่ให้มากขึ้น ซึ่งต่อจากนี้ไปเถ้าแก่ย่อยจะเต็มบ้านเต็มเมือง เพราะทุกคนมีโอกาสซื้อขายของทั้งในประเทศ และทั่วโลกผ่านทางอินเทอร์เน็ต หรือทางไปรษณีย์ ดังนั้นด้วย สิ่งแวดล้อม และโลกกำลังเปลี่ยนแปลง โอกาสที่จะเอื้อให้บริษัทเล็กๆ กำลังมาถึง และยิ่งมีมากขึ้น แต่ทุกอย่างต้องเริ่มต้นจากเล็กก่อนเติบโตใหญ่ขึ้น
ดังนั้นธุรกิจบริการใหม่ของศตวรรษที่ 21 คือ ดีซี และลอจิสติกส์ ซึ่งก็คือโกดังที่บริหารด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย และมีประสิทธิภาพ สำหรับรองรับธุรกิจขนาดเล็กในการกระจายสินค้าให้ตลาด และจัดวัตถุดิบให้กับผู้ผลิต โดยไม่ต้องใช้พลังเล็กๆ ของธุรกิจขนาดเล็กในการกระจายสินค้าไปทั่วประเทศและทั่วโลก
เจ้าสัว ซี.พี.ยังเผยเคล็ดลับในการดำเนินธุรกิจ และการทำงานให้ประสบความสำเร็จ ซึ่งเป็นสิ่งที่ตนเองยึดถือมาตลอดให้ฟังว่า มีองค์ประกอบสำคัญ 5 ประการด้วยกัน ประการแรก คือ การรู้จักดูแลรักษา และบริหารเงินที่ได้มา เพราะหากไม่มีจุดนี้ ไม่ว่าจะเป็นคนเก่งแค่ไหน สุดท้ายจะไปไม่รอด เรียกว่า "ยิ่งเก่งยิ่งล้มละลายเร็ว" เพราะจะใช้เงินเกินควร ไม่รู้จักรักษาเงินที่ได้กำไรมา และไม่รู้จักใช้เงินให้เกิดประโยชน์สูงสุด นอกจากนี้ยังต้องมีความซื่อสัตย์ต่อเจ้าของเงิน โดยต้องคิดอยู่เสมอว่า เงินที่เรากู้มานั้น ธนาคารที่เป็นเจ้าของเงินได้เงินมาจากคนที่มาฝากเงิน ฉะนั้นถ้าต้องการจะเป็นเจ้าของธุรกิจที่ดี ต้องคิดอยู่ตลอดเวลาว่าเงินทุกบาททุกสตางค์ที่กู้มานั้นต้องคืนแก่ผู้ให้กู้ และต้องถือว่าผู้ให้กู้คือผู้สนับสนุนให้ธุรกิจของเราเกิด
ประการที่สอง ต้องไม่ขี้เกียจ มีความขยัน อดทน มีมานะ และอยากก้าวหน้า โดยต้องรู้จักสรรหา ศึกษา และเรียนรู้จากคนอื่น ขณะเดียวกันต้องมีความรับผิดชอบสูงทั้งต่อตัวเอง คนอื่นๆ และสังคมด้วย
"ถ้าต้องการจะทำธุรกิจให้ยิ่งใหญ่ต้องคิดถึงสังคมก่อนคิดถึงตัวเอง เพราะสินค้าของเราขายให้กับคนส่วนใหญ่ ดังนั้น ต้องคำนึงว่าสินค้านั้นเป็นประโยชน์ต่อคู่ค้า และผู้บริโภคหรือไม่ โดยถ้าต้องการให้ธุรกิจยิ่งใหญ่ สินค้าต้องเป็นประโยชน์ต่อคนกลุ่มใหญ่ และมีโอกาสขายไปทั่วโลก แต่ก่อนที่จะทำธุรกิจไปทั่วโลกได้ต้องเริ่มต้นจากการทำธุรกิจในระดับท้องถิ่นก่อน แล้วจึงค่อยๆ ขยายหาประสบการณ์ต่อไป"
ประการที่สาม ต้องคิดเสมอว่าในโลกนี้ไม่มีใครทำถูกที่สุดและทำถูกทุกเรื่อง ทุกคนต้องมีทั้งจุดแข็งและจุดอ่อนด้วยกันทั้งนั้น แต่ต้องศึกษาตนเองอยู่เสมอว่า ทำผิดพลาดอะไรบ้าง และมีจุดอ่อนอะไร หากเราพยายามศึกษาจุดอ่อนของเราอยู่ตลอดเวลาแล้ว เราก็จะมีโอกาสเห็นคนที่เก่งกว่า และพยายามศึกษาจุดเด่นของคนอื่น ซึ่งจะทำให้มีโอกาสไปเรียนรู้จากคนอื่นด้วยความเคารพ และจริงใจ แล้วจะได้ความเคารพและจริงใจตอบแทนกลับมา
เจ้าสัวธนินท์เชื่อว่าการเรียนรู้จากหนังสือตำรานั้นไม่เพียงพอ แต่จะต้องเรียนรู้ทุกวันทั้งจากเพื่อนฝูง สังคม หรือทุกคนที่มีความสามารถเหนือกว่า และเมื่อประสบความสำเร็จแล้วก็ต้องคิดเสมอว่า เหนือฟ้ายังมีฟ้า ดังนั้นจะต้องมีความเคารพต่อผู้ที่มีความสามารถมากกว่า อีกทั้งต้องรู้จักเข้ากับ และนับถือคนที่อยู่ในระดับเดียวกัน และผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาด้วย โดยพยายามเรียนรู้ให้ได้ว่าผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาของเรามีจุดแข็งอะไรแล้วจึงค่อยมองถึงจุดอ่อน จากนั้นพยายามหลีกเลี่ยงจุดอ่อนและใช้จุดเด่นของผู้อยู่ใต้บังคับบัญชา
"ถ้าต้องการเข้าไปอยู่ในองค์กรใหญ่ และต้องการเป็นผู้นำจะต้องรู้จักบริหารคน สร้างคน และใช้คน ทั้งต้องเข้ากับผู้ใหญ่ได้

และทำให้ผู้ใหญ่เข้าใจว่าเรามีความสามารถอย่างไร เพื่อจะได้มีโอกาสแสดงความสามารถ และต้องทำให้ผู้ร่วมงานในระดับเดียวกันและผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาเข้าใจเราด้วย แต่ที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้นคือ การเสียสละ และไม่เอาเปรียบองค์กร"

อีกทั้งยังต้องรู้จักสร้างคนขึ้นมาทดแทน โดยเตรียมพร้อมทุกเมื่อให้มีคนที่เก่งกว่าเราขึ้นมาทดแทนเรา ดังนั้นจึงต้องพยายามเรียนรู้กับโลกที่กำลังก้าวหน้า และพยายามเคารพนับถือคนรุ่นใหม่ และพยายามใช้คนเหล่านี้ ใช้ประสบการณ์ที่ทันสมัย ทันโลกที่เรามีควบคู่กันไป

ประการสุดท้าย นายธนินท์กล่าวว่า ตามประสบการณ์ของตนนั้น ผู้ที่จะเป็นผู้นำได้ต้องรู้จักประชาสัมพันธ์เพื่อให้สังคมเข้าใจตนเอง เพราะการทำแบบปิดทองหลังพระบางครั้งอาจทำให้เราไม่มีโอกาสเกิด หรือของดีก็กลายเป็นของเสียเพราะคนไม่เข้าใจ โดยนึกว่าสิ่งที่เราทำเป็นเรื่องที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อสังคม

- - - - - - -- - - - - - - - - - - - - -- - - -
ข่าวจาก : ประชาชาติธุรกิจ วันที่ 15 กรกฎาคม 2547
ที่มา ; http://www.matichon.co.th/prachachat/