ทฤษฎีที่สำคัญที่น่าออกสอบ Final
1. ทฤษฎีพันธนิยม (Deontology) เสนอว่า การกระทำที่มีจริยธรรม คือ (Singer, 1997)
1.1. การปฏิบัติตามสิทธิ์โดยชอบธรรม (Moral Rights) ซึ่งเป็นสิทธิ์พื้นฐานที่บุคคลทุกคนควรได้รับ โดยอาจแบ่งออกเป็นแง่บวก เช่น สิทธิ์การมีชิวิตอยู่ สิทธิ์ความเป็นส่วนตัว หรือแง่ลบ เช่น ไม่มีสิทธิ์ในการฆ่าผู้อื่น ไม่มีสิทธิ์ในการบุกรุกผู้อื่น
1.2. การปฏิบัติตามสิทธิ์ในสัญญา (Contractual Rights) หมายถึง การปฏิบัติตามหน้าที่ กฎเกณฑ์ และสัญญาที่ได้ตกลงกันไว้อย่างเคร่งครัด
นอกจากนี้ ต้องมีความเคารพผู้อื่น ปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างที่ตนเองต้องการจะได้รับการปฏิบัติ และปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความตั้งใจดีไม่ใช่ด้วยเจตนาที่จะใช้ผู้อื่นเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง ( หมายความว่า ถ้าเห็นคนอื่นเป็นคนดี เจตนาดี ควรปฏิบัติตาม ถ้าเห็นคนแก่ตัว ไม่ควรปฏิบัติตาม )(Singer, 1997) แต่ทฤษฎีนี้มีข้อโต้แย้งเรื่องการนำไปใช้ คือ บางสถานการณ์ ประสบการณ์ในอดีตอาจสามารถนำมาใช้แก้ปัญหาได้ดีกว่ากฎเกณฑ์ที่กำหนดไว้ หรือกฎเกณฑ์ที่กำหนดไว้เป็นมาตรฐานทางจริยธรรมที่ต้องทำตามโดยเคร่งครัดไม่เปลี่ยนแปลง บางครั้งก็เป็นกฎเกณฑ์ที่มนุษย์ตั้งขึ้นมาเอง เป็นเรื่องของการยึดเอาความคิดเห็นของตนเองเป็นหลักมากกว่าความต้องการของคนหมู่มาก (Ferrell, Fraedrich, & Ferrell, 2002) และกฎเกณฑ์แห่งความถูกต้องทางทฤษฎีพันธนิยมที่ให้ปฏิบัติต่อคนทุกคนโดยเท่าเทียมกันในทุกๆ สถานการณ์ทำให้การแก้ไขปัญหาความขัดแย้งเรื่องผล ประโยชน์ในบางกรณีไม่สามารถทำได้ในโลกของความเป็นจริง (Weiss, 2003)
2. ทฤษฎีประโยชน์นิยม (Teleology/ Utilitarianism) การกระทำที่ดี คือ การกระทำที่เกิดผลประโยชน์มากที่สุดต่อคนจำนวนมากที่สุด (Greatest good for the greatest number) กล่าวคือ การตัดสินพฤติกรรมใดว่าถูกหรือผิดจริยธรรม ให้ตัดสินจากผลการกระทำ ถ้ามีผู้ได้รับประโยชน์มากกว่าเสียประโยชน์ แต่ทฤษฎีนี้ก็เหมือนกับทุกทฤษฎีทางจริยธรรมที่มีข้อโต้เถียงที่ว่าไม่สามารถนำไปใช้ได้ทุกกรณี และบางครั้งการยึดหลักการของทฤษฎีนี้ อาจเป็นการส่งเสริมการกระทำที่มีเจตนาและวิธีการที่ไม่ดีและก่อให้เกิดผลเสียในภายหลัง เพราะการพิจารณาจำนวนคนที่ได้รับประโยชน์จากการกระทำ อาจมีวิธีการที่ไม่ซื่อตรง ที่ทำร้ายหรือหักหลังคนบางคนเพียงเพื่อให้คนหมู่มากได้ประโยชน์ นอกจากนั้น การพิจารณาโดยใช้ทฤษฎีนี้เป็นหลักจะมีข้อเสีย คือ การที่ไม่สามารถกำหนดกฎเกณฑ์ที่ดีซึ่งจะใช้เป็นมาตรฐานทั่วไปได้ เพราะขึ้นกับจำนวนคนที่ได้รับประโยชน์ในแต่ละสถานการณ์เป็นหลัก ซึ่งเหตุผลนี้ก็จะไม่เที่ยงตรงแต่จะผันแปรไปตามกลุ่มคนที่ได้ผลประโยชน์ในขณะนั้น (Carroll & Buchholtz, 2009)
3. ทฤษฎีสัมพัทธนิยม (Relativism) เสนอว่า การจะตัดสินว่าการกระทำใดผิดหรือถูก ขึ้นอยู่กับกฎเกณฑ์และสภาพแวดล้อมของสังคมนั้นๆ การกระทำที่ถูกหรือผิดในสังคมหนึ่งอาจไม่ถูกหรือผิดในอีกสังคมหนึ่งได้ ทฤษฎีนี้ก็เช่นเดียวที่ไม่สามารถนำไปใช้ได้ทุกสถานการณ์ ข้อเสียของการใช้ทฤษฎีนี้เป็นเหตุผลอ้างอิงจะคล้ายกับทฤษฎีประโยชน์นิยมคือ การที่ข้อพิจารณาการกระทำว่าถูกต้องหรือไม่ที่แปรเปลี่ยนไปตามค่านิยมในแต่ละสังคมและจำนวนคนที่เห็นด้วยกับการกระทำนั้นๆ อาจก่อปัญหาคือ การไม่สามารถกำหนดเกณฑ์การพิจารณาทางจริยธรรมที่เป็นมาตรฐานที่จะนำไปใช้ได้อย่างเสมอภาคและเท่าเทียมกัน และการพิจารณาความถูกผิดที่ขึ้นกับที่ตั้งของสังคมและความเห็นคนหมู่มากก็ไม่ได้แสดงว่าการกระทำนั้นถูกต้องเสมอไป (Ferrell, Fraedrich, & Ferrell, 2002)
4. ทฤษฎีพันธนิยม (Egonism) ไม่มีอะไร ก็ทำเพื่อประโยชน์ตนเองให้มากที่สุด