11/26/2552

ทฤษฏีความโกลาหล (Chaos Theory)

รู้จัก ทฤษฏีความโกลาหล (Chaos Theory)

ButterFly Effect Graph ที่คล้ายปีกผีเสื้อ

เรามักจะได้ยิน ประโยคยอดนิยมที่ ใช้กันทั่วไป หรือ ตามภาพยนต์ ที่พูดว่า "เด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว" หรือ "ผีเสื้อขยับปีก อาจก่อให้เกิดพายุ" (ทฤษฎี Butterfly Effect) ซึ่งมีคนหลายคนที่ตีความประโยคเหล่านี้ ในลักษณะของขนาดของความรุนแรงของผลลัพธ์ ในทฤษฏีความโกลาหลนั้นไม่จำเป็นต้องแตกต่างกันในแง่ ขนาด ของ ผลลัพธ์เสมอไป แต่อาจจะเป็นในแง่ของ พฤติกรรม
การเปลี่ยนแปลง จากตัวอย่างข้างต้น การเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรม ทั้งสองนั้นจะมีลักษณะที่ คล้ายคลึงกันมากในขณะเริ่มต้น แต่เมื่อเวลาผ่านไปจะพบว่า ผลัพธ์ของการเปลี่ยนแปลงแทบจะไม่มีอะไร คล้ายคลึงเลย

เกล็ดความรู้เพิ่มเติม
1. ความตื่นตัวในการพัฒนาทฤษฎีความโกลาหล เกิดขึ้นในช่วงกลางของศตวรรษที่ 20 เมื่อการทดลอง เป็นที่ประจักษ์ว่า ทฤษฎีของระบบเชิงเส้นนั้นไม่สามารถใช้อธิบายพฤติกรรมบางอย่าง แม้กระทั่งพฤติกรรมของระบบที่ไม่ซับซ้อนอย่าง แมพลอจิสติก (Logistic map)
2. ปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลให้พัฒนาการของทฤษฎีความโกลาหลเป็นไปอย่างรวดเร็วก็คือ คอมพิวเตอร์ การคำนวณในทฤษฎีความโกลาหลนั้น โดยส่วนใหญ่จะมีลักษณะที่เป็นการคำนวณค่าแบบซ้ำ ๆ จากสูตรคณิตศาตร์ และสามารถใช้คอมพิวเตอร์ช่วยในการคำนวณได้อย่างมีประสิทธิภาพ
3. เอ็ดเวิร์ด ลอเรนซ์ (Edward Lorenz) เป็นผู้ริเริ่มบุกเบิกทฤษฎีความโกลาหล เขาได้สังเกตพฤติกรรมความโกลาหล ในขณะทำการทดลองทางด้านการพยากรณ์อากาศ ในปี ค.ศ. 1961 ลอเรนซ์ใช้คอมพิวเตอร์ซิมูเลชันแบบจำลองสภาพอากาศ ซึ่งในการคำนวณครั้งถัดมาเขาไม่ต้องการเริ่มซิมูเลชันจากจุดเริ่มต้นใหม่ เพื่อประหยัดเวลาในการคำนวณ เขาจึงใช้ข้อมูลในการคำนวณก่อนหน้านี้เพื่อเป็นค่าเริ่มต้น ปรากฏว่าค่าที่คำนวณได้มีความแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง เขาพบว่าสาเหตุเกิดจากการปัดเศษ ของค่าที่พิมพ์ออกมา จากค่าที่ใช้ในคอมพิวเตอร์ ซึ่งมีค่าน้อยมาก แต่สามารถนำไปสู่ความแตกต่างอย่างมากมาย เรียกว่า ไวต่อสภาวะเริ่มต้น
4. "Butterfly effect" ซึ่งเป็นคำที่นิยมใช้เมื่อกล่าวถึงทฤษฎีความโกลาหล นั้นมีที่มาไม่ชัดเจน เริ่มปรากฏแพร่หลายหลังจากการบรรยายของ ลอเรนซ์ ในปี ค.ศ. 1972 ภายใต้ชื่อหัวข้อ "Does the Flap of a Butterfly's Wings in Brazil Set Off a Tornado in Texas?" นอกจากนี้แล้วยังอาจมีส่วนมาจาก รูปแนวโคจรของตัวดึงดูดลอเรนซ์ ที่มีรูปร่างคล้ายผีเสื้อ
5. "Chaos" (เค-ออส) บัญญัติขึ้นโดย นักคณิตศาตร์ประยุกต์ เจมส์ เอ ยอร์ค (James A. Yorke)
http://www.daydev.com/it-marketing/26-it-marketing/47-chaos-theory-khowledge.html
“บทความมติชน” เพียงแต่เข้าใจว่า “สถานการณ์บ้านเมืองขณะนี้…เป็นบรรยากาศที่ช่างไร้ระเบียบ ไร้หลักการ ยากที่จะทำนาย (Unpredictable) มีแต่การลุ้นระทึกว่าอะไรจะเกิดขึ้นในลำดับถัดไป” โดยลืมมองไปว่า การต่อสู้ช่วงชิงทางการเมืองในทุกยุคทุกสมัยก็ล้วนแต่มีความไร้ระเบียบเกิดขึ้นเป็นระยะ ซึ่งไม่จำเป็นต้องใช้ Chaos Theory มาจับก็สามารถอธิบายได้ แต่เหตุใด “ความไร้ระเบียบ” ในช่วงนี้จึงอธิบายด้วย Chaos Theory
แท้จริงแล้ว Chaos Theory ไม่ใช่ทฤษฎีที่ใช้อธิบายภาวะไร้ระเบียบแบบธรรมดาทั่วไป ซึ่งสุดท้ายของเหตุการณ์ก็จะกลับเข้าสู่ระเบียบเดิม (Order) แต่ได้มุ่งเน้นไปที่ภาวะไร้ระเบียบ ที่จะไม่หวนกลับไปสู่สถานะเดิม (Old Order) แต่จะนำไปสู่ระเบียบใหม่ (New Order) ที่จะผุดบังเกิดขึ้นมาภายหลังภาวะไร้ระเบียบ(Chaos) สิ้นสุดลง
สิ่งที่น่าสนใจ คือ “บทความมติชน” ได้อ้างอิงไปถึง การวางแผนของพรรคประชาธิปัตย์หลายปีก่อน เพื่อประยุกต์ใช้ Chaos Theory มาเป็นกลยุทธ์เพื่อสู้กับพรรคไทยรักไทย โดยเน้นไปที่การ “สร้างความวุ่นวายให้เกิดขึ้นในสังคม ด้วยการยกปมการทุจริตคอร์รัปชั่นของรัฐบาลขึ้นมาขยายฉายซ้ำ” ซึ่งหากพรรคประชาธิปัตย์หรือฝ่ายอื่นๆได้ประยุกต์ใช้แนวทางนี้จริงๆ ก็จะพบว่า Chaos Theory ที่ผู้ใช้คาดหวังว่าจะทำลายพรรคไทยรักไทยนั้น ในที่สุดกลับทำให้เกิดผลเป็นขุมกำลัง “เสื้อแดง” และขุมกำลังอื่นๆที่ควบคุมไม่ได้ออกลูกออกหลานเต็มไปหมด และส่วนหนึ่งได้กลับมากระทบ “พรรคประชาธิปัตย์” ซึ่งกำลังถูก Chaos Theory สั่นคลอนอยู่ในขณะนี้
ยิ่งกว่านั้น “บทความมติชน” ยังได้ทิ้งท้ายไว้ว่า “หลายเหตุการณ์ที่พรรคร่วมรัฐบาลประสบ แผนการโต้กลับของประชาธิปัตย์ที่มีต่อฝ่ายค้านและมวลชนฝ่ายตรงข้าม ช่างละม้ายคล้ายกับแนวคิด Chaos Theory ที่ขุนพลประชาธิปัตย์เคยตั้งวงถกเมื่อเกือบ 10 ปีก่อน” ซึ่งมองจากมุมนี้จะยิ่งเห็น “ความลักลั่นย้อนแย้ง” เพราะหากพรรคประชาธิปัตย์ได้ดำเนินการผ่าน Chaos Theory มาตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา ก็กลายเป็นว่าภาวะ Chaos นั้น ได้กลับมาส่งผลต่อพรรคประชาธิปัตย์ในขณะนี้เช่นกัน
ทั้งหมดที่กล่าวมา จึงนำไปสู่ข้อสรุปที่ลึกซึ้งครอบคลุมยิ่งขึ้นว่า ภาวะ Chaos Theory ได้ครอบคลุมสังคมไทยกว้างไกลและลึกซึ้งเกินกว่าจะเป็นเพียงแค่ “การสร้างสถานการณ์” ของคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งอีกต่อไป
หากพรรคประชาธิปัตย์ พรรคเพื่อไทย ขุมกำลังเสื้อแดง NGOs บูรพาพยัคฆ์ หรือขุมกำลังทั้งที่เปิดเผยและซุ่มซ่อน ต้องการที่จะได้รับชัยชนะในช่วง Chaos Theory ซึ่งกำลังจะเปลี่ยนผ่านไปสู่ระเบียบใหม่ (New Order) ย่อมต้องทำการศึกษา “ประวัติศาสตร์และวิวัฒนาการ” ของสังคมไทยและสังคมโลกอย่างรอบด้าน เพื่อความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในภาพอนาคต (Scenario) ที่สังคมไทยจะเปลี่ยนผ่านไปสู่ระเบียบใหม่ (New Order)
การกำหนด “กลยุทธ์” เพื่อรับมือกับภาวะ Chaos Theory จึงไม่ใช่เพียงการสร้างความวุ่นวายให้เกิดขึ้นในสังคม เพื่อทำให้ประชาชนเกลียดชังฝ่ายตรงข้ามเพียงอย่างเดียว เพราะในภาวะ Chaos Theory ที่ทุกขุมกำลังถูกโยงใยกันอย่างสลับซับซ้อนนั้น การกระทำเพื่อมุ่งหวังผลทางตรง อาจนำไปสู่ผลทางอ้อมมากมายสุดคณานับ ซึ่งสุดท้ายอาจย้อนกลับมาทำร้ายผู้กระทำได้
“กลยุทธ์” ที่ดีที่สุด ในการตอบโต้กับภาวะ Chaos Theory มีดังนี้
1. พิจารณาสถานการณ์แบบองค์รวมโดยใส่ “สถานการณ์จำลอง (Scenario)” เข้ามาอยู่ในสมการกลยุทธ์
มนุษย์มักถูกครอบงำด้วย “กรอบคิด” โดยไม่รู้ตัว ซึ่งในภาวะปกติย่อมไม่ส่งผลต่อการกำหนดกลยุทธ์มากนัก แต่ในภาวะ Chaos นั้น จะต้องพยายามสร้าง “Scenario” เพื่อเป็นตัวแทนภาพอนาคต ในการกำหนดกลยุทธ์ที่เหนือกว่าฝ่ายตรงข้ามที่ตอบสนองต่อสถานการณ์ไปวันๆ
ตัวอย่างเช่น “เสื้อแดง” ที่รวมตัวกันเพื่อสนับสนุน “อดีตนายก” นั้นย่อมไม่ได้เกิดจากการถูกหลอกลวงมาเพียงอย่างเดียว เพราะไม่เช่นนั้นก็คงสลายตัวไปนานแล้ว แต่ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะ “อดีตนายก” มีนโยบายและการบริหารจัดการที่สอดคล้องกับความต้องการของ “เสื้อแดง” ดังนั้น วิธีสลายเสื้อแดง จึงไม่ใช่เพียงการจัดการ “อดีตนายก” ซึ่งนอกจากเสียเวลาเปล่าแล้ว ยังเป็นการแก้ปัญหาที่ไม่ถูกจุดอีกด้วย
การแยกสลาย “อดีตนายก” กับ “เสื้อแดง” จะเกิดขึ้นได้ต้องอาศัยการอ่านสถานการณ์ในอนาคตที่ “เสื้อแดง” จะวิวัฒน์ไป แล้วบริหารประเทศให้สอดรับกับความต้องการนี้ จึงจะทำให้ “อดีตนายก” ถูกโดดเดี่ยวและพ่ายแพ้ได้
2. ใส่ใจ “ปรากฎการณ์หรือขุมกำลัง” ขนาดเล็กที่เคยมองข้ามไป
Chaos Theory มักให้ความสำคัญกับ “ปรากฎการณ์เล็กๆ” ที่อาจพลิกเปลี่ยนสถานการณ์ใหญ่ไปสู่ทิศทางใหม่โดยไม่คาดฝัน เนื่องเพราะในสถานการณ์ Chaos นั้น “กฎเกณฑ์เดิม” ล้วนแต่ถูกทำลายลง ดังนั้นจึงเปิด “ช่องว่าง” ให้กับปรากฎการณ์หรือขุมกำลังขนาดเล็กได้มีบทบาทสำคัญต่อสถานการณ์ใหญ่ได้
ตัวอย่างเช่น “นายทหารระดับสูง” ซึ่งเคยมั่นใจในความภักดีของลูกน้องว่า “พวกเขาจะต้องนำกำลังทหารมาสนับสนุน เมื่อตนเองมีคำสั่งไป” ก็อาจประเมินผิดพลาด เพราะในภาวะ Chaos ที่กฎเกณฑ์เดิมถูกทำลาย “ลูกน้อง” ก็อาจไม่เชื่อฟัง “ลูกพี่” โดยไม่จำเป็นต้องถูกลงโทษตามกฎหมาย เพราะเกิดช่องว่างทางอำนาจขึ้นมา
ดังนั้น ขุมกำลังทั้งหลาย จึงอาจแทรกซึมเข้าไปในขุมกำลังฝ่ายตรงข้ามได้ โดยไม่จำเป็นต้องเกลี้ยกล่อม “ผู้นำระดับสูง” แต่อาจดำเนินการผ่าน “ผู้นำระดับกลาง” ที่คุมกำลังและทรัพยากรสำคัญแทน
3. ใช้มุมมองใหม่ในการประเมินมิตรและศัตรู
Chaos Theory จะทำลาย “กฎเกณฑ์เดิม” ดังนั้น มิตรและศัตรูของขุมกำลังต่างๆ ก็อาจเปลี่ยนข้างย้ายขั้วได้หลากหลายและซับซ้อนกว่าปกติ ดังนั้น หากใครสามารถมองเห็น Scenario ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้ ย่อมสามารถมองเห็นความเคลื่อนไหวทั้งการประสานมิตรและสร้างศัตรูได้แม่นยำกว่าคนอื่น ซึ่งจะนำไปสู่การกำหนดกลยุทธ์ที่ดีกว่าได้
ตัวอย่างเช่น “การลอบยิงแกนนำพันธมิตร” ย่อมไม่ใช่เหตุบังเอิญ แต่เกิดจากการกำจัดคนที่ควบคุมได้ยากของฝ่ายเดียวกัน เมื่อเข้าใจสาเหตุนี้ก็ย่อมสามารถเปลี่ยนศัตรูเป็นมิตรได้ เช่นเดียวกับ “คำพิพากษากรณีเหตุการณ์ 7 ตุลา” ก็อาจเปลี่ยนศัตรูเป็นมิตรได้อีกเช่นกัน
ทั้งหมดสรุปได้เพียงประโยคเดียว
“Chaos Theory สามารถอธิบายภาวะเปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่ ที่กฎเกณฑ์เดิมได้ถูกทำลายลง ดังนั้น ผู้เล่นที่ปรารถนาชัยชนะจะต้องมองเห็นช่องว่างระหว่างกฎเกณฑ์เดิมกับการเปลี่ยนผ่านเข้าสู่กฎเกณฑ์ใหม่ ภายใต้ภาวะใหม่ที่กำลังก่อตัวขึ้น เพื่อกำหนดกลยุทธ์ให้สอดคล้อง”
http://www.siamintelligence.com/chaos-in-politic/

ความโกลาหล หรือ Chaos Theory คือการเกิดขึ้นอย่างสะเปะสะปะของเหตุการณ์ แต่กลับเต็มไปด้วยความเป็นระเบียบในตัวของมันเอง เรามองเห็นความสับสนวุ่นวาย แต่กลับมีเบื้องหลังเป็นความมีระเบียบ ความไร้ระเบียบกลายเป็นสากล แต่สร้างคุณค่าได้มากกว่าความมีระเบียบแบบแผนเสียด้วยซ้ำ

ดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ จากสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย หรือ TDRI เคยยกตัวอย่างของการนำทฤษฎี Chaos Theory มาใช้อย่างคร่าวๆ ว่า บริษัทผู้ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้ายักษ์ใหญ่แดนปลาดิบอย่างมัทสึชิตะ ใช้ทฤษฎีความโกลาหลควบคุมหัวฉีดของเครื่องล้างจาน เพราะพบว่าช่วยให้หัวฉีดล้างจานได้สะอาดแถมยังประหยัดน้ำกว่าเครื่องล้างจานแบบอื่นๆ เพราะการเคลื่อนที่ของหัวฉีดแบบไร้ระเบียบทำให้ครอบคลุมพื้นที่การทำความสะอาดดีกว่าการวางรูปแบบของการฉีดของหัวฉีดอย่างเป็นระเบียบ

การทำนายความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุด หรือ peak load ในแต่ละวันของบริษัทไฟฟ้าคันไซในประเทศญี่ปุ่น หรือการคำนวณความต้องการใช้น้ำในแต่ละวันของบริษัทเมดะของญี่ปุ่น

แล้วเหตุใดจึงนำมาเปรียบเทียบกับการทำธุรกิจแบบ "convergence" ของทรู?

เริ่มแรกก็ตรงที่ จนถึงตอนนี้ผู้บริหารของทรูก็ยังไม่สามารถตอบได้ว่าการทำ "convergence" ช่วยให้จำนวนของคนใช้งานนั้นใช้สินค้าของตนในกลุ่มมากขึ้นแค่ไหน หรือพูดง่ายๆ ก็คือ จนถึงตอนนี้การบอกว่า "ยิ่งรวมยิ่งดี" ก็ไม่ได้ช่วยให้ทรูตอบได้ว่า "ลูกค้าหนึ่งคนของตนใช้สินค้าอะไรบ้างในมือ"

ผู้บริหารของทรูยอมรับว่า โครงการ mapping คนกับสินค้าของตนเป็นโครงการที่ใหญ่ และกินเวลานาน จนถึงตอนนี้ก็ยังทำไม่ได้อย่างเต็มที่ และตอบไม่ได้เต็มปากว่าเมื่อใดจะได้เห็นภาพของโครงสร้างคนใช้งานทั้งหมดจับคู่กับสินค้าทั้งหมด หรือเห็นคน 1 คน ใช้งานสินค้ามากสุดของตนกี่อย่าง คิดเป็นตัวเงินเท่าใด และสร้างรายได้และกำไรให้กับบริษัทเท่าใด

จุดกึ่งกลางของความโกลาหลยังอยู่ที่เหตุผลค่อนข้างซับซ้อน เพราะธรรมชาติของบริการและสินค้าของทรูจำกัดเอาไว้แตกต่างกัน สำหรับลูกค้าที่ใช้โทรศัพท์มือถือแล้ว แม้จะใช้เป็นรายคน แต่การที่ตัวเลขของคนใช้งานโทรศัพท์แบบเติมเงิน (Pre paid) มากกว่าตัวเลขคนใช้แบบรายเดือน (Post paid) ทำให้การระบุตัวตน และที่อยู่แน่นอนของเจ้าของเบอร์ทำได้ยาก แม้จะประกาศขอความร่วมมือ และให้ผู้ให้บริการเครือข่ายเก็บรายละเอียดของผู้ใช้ทั้งหมด แต่ถึง ตอนนี้ก็ยังไม่ถึงไหน และดูเหมือนว่าจะทำแก้เกี้ยวพอเป็นพิธีเท่านั้น

ขณะที่ลูกค้าที่ใช้อินเทอร์เน็ตความเร็วสูงและทรูวิชั่นส์ กลับถูกจัดหมวดให้เป็น "กลุ่มครัวเรือน" มากกว่าเป็น "รายตัว" เพราะการติดตั้งจานดาวเทียมสีแดง หรือใช้โมเด็มเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตในหนึ่งบ้าน แฝงไปด้วยอัตราการใช้มากกว่าหนึ่งหัว

สำหรับอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง นพปฎล เดชอุดม ผู้อำนวยการและผู้จัดการทั่วไป บริษัท ทรู อินเทอร์เน็ต บริษัทที่ดูแลธุรกิจออนไลน์ของทรู บอกว่าค่าเฉลี่ยของคนใช้งานต่อหนึ่งบ้านอยู่ที่ 2.5 ราย หรือในบ้านหนึ่งหลังที่ติดตั้งอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงของทรู จะมีโอกาสใช้อินเทอร์เน็ตที่ 2.5 คน ขณะที่ทรูวิชั่นส์ มีค่าเฉลี่ยการรับชมภาพต่อการส่งสัญญาณเข้าบ้านหนึ่งหลังอยู่ที่ 4 คน แต่คนสมัครใช้อินเทอร์เน็ตความเร็วสูงกับทรู วิชั่นส์ อาจจะไม่ได้เป็นคนคนเดียวกับก่อนหน้าที่ใช้โทรศัพท์มือถือทรูมูฟ และถึงแม้คนใช้โทรศัพท์มือถือจะใช้อินเทอร์เน็ตของทรูด้วย แต่ก็อาจจะไม่ได้เป็นคนสมัครการใช้บริการ ทว่าอาจจะเป็นใครสักคนในบ้าน

การทำแผนที่ความสำเร็จในการทำ convegence ของทรู จึงลำบากขึ้นเป็นทวีคูณ เมื่อไม่สามารถหาตัวตน จับคนชนกับครัวเรือนไม่ได้

แต่ก็หาใช่จะไร้ความหวังเสียเลยทีเดียว นั่นเพราะการเริ่มแคมเปญอัพเกรดความเร็วของอินเทอร์เน็ต สำหรับผู้ที่ใช้โทรศัพท์มือถือทรูมูฟ ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีของทรู อย่างน้อยก็ทำให้ทรูได้ทราบว่า ลูกค้าที่ใช้อินเทอร์เน็ตของทรู ใช้เบอร์โทรศัพท์มือถือเบอร์อะไรนั่นเอง

สำหรับตัวเลขที่จะบอกได้ว่าลูกค้าคนหนึ่งของทรูใช้สินค้าอะไรบ้างนั้น ก็ยังเป็นโครงการแห่งความหวังในอนาคตของทรูต่อไป

แต่จุดจบของเรื่องกลับเป็นใจความสำคัญของทฤษฎีความโกลาหลที่ว่า "คือแม้จะไร้ระเบียบ แต่กลับเต็มไปด้วยแบบแผน และคุณค่า"

ทรูประสบความสำเร็จในแง่ของการเพิ่มยอดผู้ใช้บริการ จากการทำ convegence สินค้าและบริการของตนในเครือ โดยจากตัวเลขที่ระบุในคำอธิบายและวิเคราะห์ฐานะทางการเงิน ปี 2549 ซึ่งทรูรายงานต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เมื่อปลายเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาระบุข้อความเอาไว้อย่างชัดเจนว่า

"กลุ่มทรูบรรลุเป้าหมายแรกของยุทธศาสตร์ในการเป็นผู้นำ Convergence Lifestyle ที่สามารถเพิ่มคุณค่าให้ผู้ใช้บริการด้วย การผสมผสานผลิตภัณฑ์และบริการต่างๆ ภายในกลุ่มตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้หลากหลายและครบวงจร ทั้งบริการด้านเสียง ข้อมูล และวิดีโอ ซึ่งส่งผลให้จำนวนผู้ใช้บริการของทรูมูฟและทรูวิชั่นส์เพิ่มขึ้นเป็นประวัติการณ์" ข้อความที่ระบุชื่อของศุภชัย เจียรวนนท์ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานคณะผู้บริหารเป็นผู้กล่าว

ทรูมูฟมีผู้ใช้บริการเพิ่มขึ้นสูงเป็นประวัติการณ์ของทรู โดยในปี 2549 จำนวน 3.1 ล้านราย คิดเป็นส่วนแบ่งตลาดเกือบร้อยละ 32 ของจำนวนผู้ใช้บริการรายใหม่ทั้งหมด ทำให้มียอดผู้ใช้บริการทั้งสิ้นรวม 7.6 ล้านราย รายได้จากบริการของทรูมูฟ ณ สิ้นปี 2549 มีจำนวนทั้งสิ้น 22.6 พันล้านบาท ขณะที่สิ้นปีเดียวกัน ทรูวิชั่นส์มีรายได้จากบริการโดยรวม 8.3 พันล้านบาท โดยสามารถเพิ่มจำนวนผู้ใช้บริการเป็น 629,269 ราย ทั้งหมดเป็นผลจากโปรโมชั่นที่ทำร่วมกันกับทรูมูฟ ในเอกสารยังระบุเอาไว้ในตอนท้ายด้วย โดยที่ศุภชัยยังบอกไว้ในวันงานแถลงข่าวเปลี่ยนชื่อยูบีซีมาเป็นทรูวิชั่นส์เมื่อไม่นานมานี้ว่าปีนี้ได้ตั้งเป้าหมายไว้ที่ 1 ล้านครัวเรือน

หากไม่ได้ดูว่าผลประกอบการปีนี้รวมถึงปีที่ผ่านๆ มาของทรูก็ยังคงติดตัวแดง ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม แต่รายได้ก็สูงขึ้นต่อเนื่อง ปริมาณคนใช้งาน และสมัครใจเป็นลูกค้าของทรูก็มากขึ้น จนเรียกได้ว่าเป็นประวัติการณ์

ความโกลาหลในการเลือกใช้งานบริการของทรู ที่ยิ่งรวมกัน บางครั้งลูกค้าก็สับสนกับสิ่งที่ตนกำลังเลือกเสพ และบางครั้งผู้บริหารก็ยังตอบไม่ได้ว่าสุดท้ายใครใช้อะไรบ้าง แต่ว่าเหนือสิ่งอื่นใด ยิ่งรวมกันก็ยิ่งช่วยให้เกิดผู้ใช้หน้าใหม่มากขึ้นอย่างปฏิเสธไม่ได้

http://www.gotomanager.com/news/details.aspx?id=57980